ผู้บริบาลผู้สูงอายุ
1. ปัจจัยการผลิตทางด้านแรงงานลดลง
2.เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวมากขึ้น การลงทุนการออมน้อยลง
3. ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) หรือรายได้ประชาชาติน้อยลง
4. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นขณะที่งบประมาณรายได้ลดลง รัฐบาลต้องสนับสนุนงบประมาณด้านสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุมากขึ้น
ผลกระทบต่อสังคม ได้แก่ ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง สภาพจิตใจย่ำแย่และความเสื่อมโทรมทางร่างกายที่ส่งผลต่อภาวะสุขภาพต่างๆตามา และจำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ ดังนั้นการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุควรจะร่วมมือกันทั้งภาครัฐและเอกชนตั้งแต่ระดับบุคคลชุมชนและประเทศเพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ให้ความรู้สังคม และสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีงานทำมากขึ้น สนับสนุนให้มีการ เตรียมวางแผนการออม การใช้ชีวิตในบั้นปลาย ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าเพื่อไม่ให้เป็นภาระสังคมต่อไป
จากผลกระทบทางด้านสุขภาพที่จำเป็นอย่างยิ่งต้องได้รับการดูแล ภายใต้การพัฒนาด้านสาธารณสุขที่มุ่งเน้นสร้างนำซ่อมสุขภาพเริ่มตั้งแต่สมัยการปฏิรูประบบสุขภาพและสวัสดิการด้านการรักษาตามนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่รัฐบาลสมัยนายก ดร.ทักษิณ ชินวัตรได้นำทัพแนวคิดเชิงเศรษฐศาสตร์สุขภาพที่มุ่งจัดการปัญหาและความต้องการของประชาชนคนไทย ซึ่งในขณะนั้นถูกกระแสโจมตีมากมาย แต่ก็ยังมีการนำแนวคิดฯดังกล่าวมาต่อยอด และในเดือนสิงหาคม 2563 องค์การสหประชาชาตินำโดยนางชุมยา สวามินาถัน รองผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก และคณะทำงานเฉพาะกิจภายใต้สหประชาชาติ ซึ่งมาปฏิบัติภารกิจด้านการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อในประเทศไทย (United Nations Inter Agency Task Force Mission to Thailand on Noncommunicable Disease: UNIATF) เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยได้กล่าวชื่นชมกับนโยบายดังกล่าวฯพร้อมกับขอตัวอย่างนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไปใช้ในประเทศที่กำลังพัฒนาอื่นๆ ต่อไป
คำว่า "บริบาล" หมายถึง ผู้ดูแล
ผู้บริบาล หมายถึง ผู้ดูแลโดยรอบ เช่น ดูแลคนแก่ ผู้ป่วย เด็ก คนพิการ อาจรวมถึงครูพี่เลี้ยงเด็ก ที่สามารถดูแลได้ที่บ้านหรือในชุมชน
ระบบสุขภาพของประเทศไทยก่อนมีการปฏิรูประบบสุขภาพขึ้นพบว่ามีข้อจำกัดหลายประการที่สำคัญ
ได้แก่ การเน้นการรักษา โรคมากกว่าการส่งเสริมสุขภาพ การเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
ในขณะที่คนไทยจำนวนมากยังป่วยและตายจากโรค และสาเหตุของโรคที่สามารถป้องกันได้ นอกจากนี้ระบบบริการสุขภาพก่อนการปฏิรูปยังมีปัญหาด้านคุณภาพและประสิทธิภาพ
ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการรับบริการ และส่วนใหญ่ยังขาดหลักประกันด้านสุขภาพ ต่อมาหลังการปฏิรูปประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ.2540
มาตรา 52 บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน...”
และมาตรา 82 “รัฐต้องจัดและส่งเสริมการสาธารณสุขให้ประชาชนได้รับบริการที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง” (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540) ได้นำไปสู่การปฏิรูประบบสุขภาพ รวมทั้งการปรับโครงสร้างกระทรวงสาธารณสุข
ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พุทธศักราช 2545 ซึ่งยังคงความรับผิดชอบด้านสุขภาพของประชาชนไว้ตามเดิม
ดังมาตรา 42 กำหนดว่า
“กระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกัน
ควบคุม และการรักษาโรคภัย การฟื้นฟูสุขภาพของประชาชน ...” พร้อมกันนี้ยังได้มีการตราพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
พ.ศ. 2545 ขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิในการรับบริการ การรักษาพยาบาล
และความปลอดภัยของประชาชน ความเคลื่อนไหวเพื่อให้ประชาชนได้รับหลักประกันสุขภาพตามเจตนารมย์ของรัฐเหล่านี้
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในระบบสาธารณสุขที่ปฎิรูปใหม่
ดังที่นายแพทย์โกมาตร (โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ และคณะ, 2541) กล่าวว่า “กระแสการปฏิรูประบบสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
นโยบายสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กำลังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบบริการสุขภาพอย่างรุนแรง
โดยระบบบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิได้กลายเป็นยุทธศาสตร์ของระบบบริการใหม่นี้”
อย่างไรก็ดี
การตีความในเชิงปฏิบัติเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับประกันด้านสุขภาพยังเข้าใจไม่ตรงกัน ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าสุขภาพในระบบใหม่เน้นเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพโดยให้ประชาชนมีความรู้
ปฏิบัติตนให้มีสุขภาพแข็งแรง และป้องกันโรคที่สามารถป้องกันได้ และยังเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย โดยเฉพาะประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียให้เป็นศูนย์กลางการทำงาน
เพื่อให้เกิดการรวมพลังทางสังคมในการขับเคลื่อนชุมชนเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนเอง
การปฏิรูประบบสุขภาพจึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อบทบาทหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกระดับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปฏิบัติงานในชุมชน ซึ่งประกอบด้วยพยาบาลจำนวนมากสุดในกลุ่มผู้ให้บริการ
และมีการบริการแก่ประชาขนโดยตรง
นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีแนวทางด้านการดูแลสุขภาพโดยเน้นให้ประชาชนรู้จักการส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้มีภาวะสุขภาพที่แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคที่ดี และแน่นนอนที่สุดว่าเมื่อประเทศไทยเข้าสู่ภาวะผู้สูงอายุ นั่นคือ จำนวนผู้สูงอายุมีเพิ่มมากขึ้น ผู้สูงอายุจะมีความเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น อ่อนแรง เป็นอัมพาต มีความพิการอย่างอื่นๆ ในขณะเดียวกันเมื่อประชาชนทุกกลุ่่มวัย รวมถึงผู้สูงอายุหากได้รับการดูแลจากครอบครัว ชุมชนดีภายใต้แนวคิดการสร้างสุขภาพ จะส่งผลให้อัตราการเข้าการรักษาหรืออัตราการนอนหรืออัตราครองเตียงยอมจะลดน้อยลงเพราะเป็นการประหยัดงบประมาณด้านการสาธารณสุข รวมไปถึงกลุ่มโรคเรื้อรังที่ไม่ควรนอนโรงพยาบาล เพราะสามารถส่งเสริมสุขภาพ ดูแลตัวเองได้ และไม่ต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำซ้อน หรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาอีกด้วย
นอกจากนี้พบว่าการที่ผู้สูงอายุที่ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อให้เกิดการแปลกแยกจากสภาพแวดล้อมเดิม ๆที่คุ้นเคย ทำให้เกิดความไม่สุขสบาย และคอยจะร้องขอ "กลับบ้าน" นั่นแสดงให้เห็นว่าถ้า ผู้สูงอายุไปนอนรักษาตัวที่บ้านย่อมมีกำลังใจและความอบอุ่นที่ดีจากบุตรหลาน และจะมีความสุขสบายกว่านอนรักษาตัวในโรงพยาบาล อันมีผลต่อการบรรเทาจากอาการที่เป็นอยู่ ด้วยเหตุผลดังกล่าวฯ คิดว่าควรมีพยาบาลเยี่ยมบ้านไปเยี่ยมถึงบ้าน สัปดาห์ละครั้งหรือบ่อยเท่าไรตามความจำเป็น เพื่อทำหัตถการบางอย่างและสอนผู้ป่วยหรือญาติ และแน่นอนที่สุดว่าหากจะส่งเสริมให้การดูแลตัวเองที่บ้านให้ได้ผลดีจำเป็นอย่างยิ่งว่า ในผู้ป่วยบางรายอาจจะต้องการผู้บริบาลดูแลเป็นประจำอันได้แก่บุตรหลานหรืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) นั่นคือทีมสุขภาพภาคประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่กำหนดไว้ว่า การเยี่ยมบ้านที่ดีจะต้องอาศัยทีมสุขภาพจากโรงพยาบาล เช่น พยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัว นักสาธารณสุข เภสัชกร ฯลฯ
ผู้บริบาลจะต้องมีคุณลักษณะที่ดี มีจิตใจโอบอ้อมอารี มีเมตตา มีทัศนคติที่ดีในเชิงบวก เสียสละ และจำต้องมีองค์ความรู้อย่างน้อยผ่านการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติพื้นฐาน 6 เดือน ได้แก่ การเปลี่ยนงแปลงด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และวิญญาณ (ความเชื่่อ) โรคระบาดที่สำคัญในชุมชน โรคเรื้อรัง การดูแลสิ่งแวดล้อม การประเมินภาวะสุขภาพเบื้องต้น การวัดสัญญาณชี การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การเยี่ยมบ้านและการบันทึกรายงานด้านสุขภาพ กฏหมายเบื้องต้น หลักการสื่อสารที่ดี การให้คำปรึกษา การออกบัตรและสิทธิด้านการรักษาพยาบาลตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และการให้สุขศึกษา สมุนไพรที่จำเป็น การส่งต่อ การค้นหาปัญหาและการเขียนแผนงานโครงการสุขภาพในชุมชน ฯลฯ
ดังนั้นเพื่อให้เกิดการดูแลแบบองค์รวม (Holist Care) ในชุมชนย่อมส่งผลให้ระบบการดูแลสุขภาพไปในทิศทางที่ดี ประชาชนรู้จักการดูแลตัวเอง ดูแลกันเองในชุมชนและครอบครัว และมีระบบข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน มีความเชื่อมโยงและผลดีต่อการรักษาของแพทย์เป็นอย่างดีและมีข้อมูลด้าน จปฐ.ที่สอดคล้องกับข้อมูลกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นผลดีอีกแง่หนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชนต่อไป ผู้เขียนในฐานะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการปฎิบัติงานในชุมชน ในคลีนิค เป็นผู้สอนและวิจัยในงานด้านสุขภาพ เห็นควรว่า กระทรวง นักวิชาการ สภาพยาบาล สภาสาธารณสุข และผู้ที่เกี่ยวข้องฯ ควรจัดทำแผนกลยุทธ์ในงานสร้างสุขภาพด้านศักยภาพของทีมสุขภาพภาคประชาชนในด้านการดูแลเบื้องต้นหรือการบริบาล โดยจัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพผู้บริบาลในชุมชนขึ้นเพื่อการยกระดับ อสม. ซึ่งเป็นผู้ดูแลและใกล้ชิดกับชุมชนมากที่สุด ซึ่งอาจรวมไปถึง อาสาสมัครสาธารณสุขประจำวัด (อสว.) หรือพระคิลานุปัฏฐาก นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการบูรณาการศูนย์สาธารณสุขชุมชนขึ้น จัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้มีและพร้อมใช้ การบริหารจัดการผู้บริบาลมาประจำ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตุประสงค์ของงานสาธารณสุขมูลฐาน (สสม.) และงานสร้างส่งเสริมสุขภาพตามนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พร้อมกับการขับเคลื่อนกิจกรรมด้งกล่าวฯ พร้อมกับมุ่งเน้นบริการที่มีคุณภาพหรือที่ดีมาใช้ ตลอดถึงการออกแบบนิเทศติดตามงานสาธารณสุขมูลฐาน.. แท้จริงแล้วงานสาธารณสุขมูลฐานเดิมไม่มีความแตกต่างด้วยซ้ำเพียงเพิ่มศักยภาพของบุคลากหรือทีมสุขภาพภาคประชาชน การมีและใช้เครื่องมือ-วัสดุอุปกรณ์ได้อย่างถูกต้อง มีระบบการบันทึกข้อมูลสุขภาพในงาน สสม.ในชุมชน ภายใต้การฝึกอบรม การนิเทศติดตาม และประเมินงาน อสม ในชุมชน จากเจ้าหน้าที่ทีมสุขภาพ ในขณะเดียวกัน อสม.ก็มีงบประมาณกิจกรรมงาน สสม.และสวัสดิการสังคมจากกระทรวงสาธารณสุขอยู่แล้ว รวมทั้งการจัดหางบประมาณจากแหล่งอื่นๆมาสนับสนุนแก่ผู้ปฏิบัติงาน และหากต้องการให้เกิดการพัฒนางานสสม.อย่างเป็นรูปธรรม ควรมีการทดลองนำร่องขึ้นโดยพิจารณาจังหวัดที่มีความพร้อม และส่งเสริมให้ทำวิจัย R2R ควบคู่ไปด้วยเพื่อหาแนวทางการพัฒนาหรือนวัตกรรมใหม่ๆขึ้น อันจะนำให้เกิดผลดีในที่สุด และปัญหาด้านสุขภาพในชุมชนในอนาคตน่าจะลดลงและส่งผลต่องานสร้างสุขภาพที่บรรลุตามวัตถุประสงค์ของงานตามนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประชาชนและผู้สูงอายุในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป
ข้อคิดเพื่อการพัฒนา
1. ควรดูแลผู้สูงอายุไทย ยุค4.0 อย่างไร
2. ใครคือผู้ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุไทย ยุค4.0
3. บทบาทของผู้ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุมีใครบ้าง
4. ผู้สูงอายุ ครอบครัว ชุมชน ควรมีส่วนร่วมอย่างไรบ้าง
5. จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้อย่างไรบ้าง
6. โรงเรียนพนักงานผู้ช่วยพยาบาล หลักสูตร NA 6 เดือนช่วยได้หรือไม่อย่างไร
7. ญาติผู้ดูแลสุขภาพควรมีบทบาทอย่างไรบ้างในการดูแลผู้สูงอายูในยุค 4.0
8. สถานศึกษาที่มีหน้าที่ผลิตบุคลากรในหลักสูตรวิทยาศาสตร์สุขภาพจะต้องทบทวนบทบาทของบุคลากรทั้งหมดเพื่อเตรียมความพร้อมกับการจัดการระบบบริการสุขภาพของผู้สูงอายุในยุค 4.0 ทั้งหมด
9.ค่าตอบแทนสำหรับผู้ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจะเพียงพอหรือไม่สำหรับผู้ดูแลสุขภาพทั้งหมด
10.อัตรากำลังที่เหมาะสมสำหรับดูแลผู้สูงอายุไทยในยุค 4.0 คือเท่าไหร่
11. สถานบริการของรัฐ เช่น รพ.สต. รพช. รพท. และรพศ. ฯลฯ มีบทบาทอย่างไรบ้างกับการตั้งรับกับสังคมผู้สูงอายุไทยในยุค 4.
แหล่งอ้างอิง
1.https://www.komchadluek.net/news/scoop/411272
2.https://www.doctor.or.th/article/detail/5859
3.รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุ พ.ศ.2556 โดย มส.ผส.
4. สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (2553). พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 บริษัท วิถี จำกัด.
5.อำพล จินดาวัฒนะ (2546). ปฏิรูปสุขภาพ: ปฏิรูปชีวิตและสังคม สำนักงานปฏิรูปสุขภาพแห่งชาติ กรุงเทพ: อุษาการพิมพ์.
6.สมจินต์ เพชรพันธุ์ศรี. (2550). การพยาบาลเพื่อการฟื้นฟูสภาพ: ประยุกต์ใช้ในผู้สูงอายุ (พิมพ์ครั้งที่ 2).กรุงเทพฯ: ศุภวนิชการพิมพ์.
7.Pearson, A. Field,J.,Z. (2006) Evidence Based Clinical Practice in Nursing and Health Care: Blackwell Publishing.
8.Rheiner, N. W. (1982). “Role theory: Framework for change” J. Nursing Management 13(3): 20-22.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น